แน่นอนว่าบางครั้งเด็กดูเหมือนสนใจ ยิ้ม หัวเราะ แต่หากเด็กดูวีซีดีอย่างเดียว โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ก็เปรียบเหมือนการสื่อสารทางเดียว เด็กไม่ได้เรียนรู้การสื่อสารออกไปหรือการตอบรับ ถ้ามากเข้าเด็กอาจเคยชินกับการอยู่กับตัวเอง ไม่ตอบสนองอารมณ์ ความรู้สึกของผุ้อื่น รวมถึงพัฒนาการทางภาษา การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการไปในทิศทางเดียวกันและเป็นขั้นเป็นตอน หากแต่ช้าเร็วต่างกัน ขึ้นกับ ตัวเด็กเอง สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู การนำเด็กไปยังศูนย์ฝึกพัฒนาการเด็กทั้งหลาย สิ่งที่ต้องคำนึง คืออายุของเด็กด้วย หากเด็กยังเล็กแต่ไปเน้นกิจกรรมที่เกินความสามารถของวัยนั้น แทนที่จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กพัฒนาได้เร็ว กลับเป็นการสร้างความกดดันกับเด็ก เกิดความเบื่อหน่ายมากกว่า พาลจะมีปัญหาทางด้านอารมณ์ และสังคมตามมา อย่างไรก็ตามถ้าพ่อแม่เล็งเห็นว่าอยู่ที่บ้านก็ไม่สะดวกในการเล่นกับเด็ก ไม่มีผู่ใหญ่คอยดูแล เล่นด้วย การไปตามศุนย์ฝึกพ่อแม่ก็อาจ ได้รับคำแนะนำดีๆในการเล่นกับเด็กได้ เพราะสุดท้ายคนที่จะฝึกเด็กและเล่นกับเด็กได้สนุกจริงๆคือ พ่อแม่
ก่อนอื่นต้องเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัย 3 เดือน คือเริ่มสนใจหน้าคนและจำแม่ได้, มองเวลาคุยด้วย และหันหาเสียง,รู้จักสิ่งที่คุ้นเคย, ปัดป่ายคว้าของแต่ยังไม่ถูกดี, กำของได้,นอนคว่ำยกคอได้ ของเล่นที่เหมาะ กับพัฒนาการ ได้แก่ โมบายล์, ตุ๊กตานุ่มๆ, กระจกเด็กเล่น, กรุ๋งกริ๋ง หรือของเล่นที่เขย่ามีเสียงได้ เป็นต้น
พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อของเด็กที่เป็นสากล คือ พัฒนาจากศีรษะจดเท้า จากกลางตัวออกไปสู่ส่วนปลาย แต่ความช้าเร็วของพัฒนาการ แตกต่างกัน ซึ่งในกรณีนี้อาจมี 2 สาเหตุ ได้แก่ เด็กไม่ยอมคลานเองซึ่งมีบ้างที่เด็กบางคนจากนั่งทรงตัวเองได้ ก็เกาะยืนและเดินได้ โดยไม่ยอมคลาน ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด ลองดูว่าคุณอุ้มเขามากไปหรือไม่ทำให้เด็กไม่ต้องใชความพยายามใดๆ หรือ เด็กไม่สามารถทำได้จริงๆพ่อแม่อาจดู พัฒนาการด้านกล้ามเนื้ออื่นๆว่าอยู่ระดับไหน เช่น การพลิกคว่ำหงาย การนั่งทรงตัวได้เอง หรืออาจลองวางของเล่นไว้ใกล้พอที่เด็กจะเขยิบตัวมาเอาได้ ถ้าเด็กดูหงุดหงิดมากและดูเหมือนทำไม่ได้เลย อาจต้องปรึกษากุมารแพทย์
การที่น้องยันตัวจะยืนได้นั้น น่าจะบอกได้คร่าวๆว่า กล้ามเนื้อหลังของเด็กน่าจะไม่มีปัญหาอ่อนแรง แม่อาจลองให้โอกาสเด็กในการได้นั่งเล่น มากขึ้น โดยช่วงแรกอาจจับเด็กนั่งหันหลังหาแม่ เราประคองส่วนลำตัวไว้ และค่อยๆลดความช่วยเหลือลง
เป็นไปได้ว่าเด็กอาจไม่ค่อยได้ยินใครเรียกแม่ว่า ม้า แนะนำว่าลองให้คุณยายและคุณพ่อเรียกแม่ว่า ม้า บ้างเพื่อเป็นตัวอย่างกับเด็ก เชื่อว่าไม่นานเด็กก็จะสามารถเรียกตามได้ พยายามอย่าบังคับให้เด็กพุด เพราะเด็กอาจยิ่งต่อต้านได้ค่ะ
นี่แสดงว่าลูกของคุณเริ่มเรียนรู้ว่าเสียงของตนเองมีผลกับสิ่งรอบข้างนะค่ะ ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ปกติค่ะ เด็กจะส่งเสียงเพราะเด็กยังไม่สามารถ สื่อสารบอกความต้องการด้วยคำพูดได้ ประกอบกับเด็กเริ่มมีทักษะใหม่ๆทั้งการพูดและการเดินจึงทำให้เด็กตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างไรก็ตามพ่อแม่ก็มีหน้าที่ทำให้เด็กมีวิธีตอบสนองที่เป็นที่ยอมรับได้มากขึ้นนะคะ เช่น ไม่พูดคำว่า "ไม่" พร่ำเพรื่อ ใช้เมื่อเราต้องการให้เด็กหยุด พฤติกรรมจริงๆ ,เพิกเฉยหรือเบี่ยงเบนความสนใจและไม่ยอมให้เด็กได้ในสิ่งที่ต้องการผ่านการร้องกรี๊ด เมื่อเด็กเรียนรู้ผลจากการร้องกรี๊ดว่าไม่มีประโยชน์ เด็กก็จะสามารถหยุดพฤติกรรมนั้นได้ในเวลาต่อมา
เด็กในช่วงวัยนี้ เริ่มจะติดและจำผู้เลี้ยงดูที่ใกล้ชิดอยู่ด้วยกันมากที่สุดได้ ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ปกติที่จะกลัวคนอื่นๆในบ้าน ภาวะนี้จะหายเองได้ เมื่อโตขึ้นและไม่ได้หมายความว่าเด็กไม่ได้รักพ่อแต่อย่างใด พึงระลึกไว้ว่าเด็กจะจำรูปลักษณะเฉพาะของคนนั้นๆเป็นหลัก เช่น ถ้าอยู่ดีๆ พ่อโกนหนวด ใส่แว่นตา เด็กอาจคิดว่าเป็นคนแปลกหน้าได้
ส่วนใหญ่ภาวะนี้จะขึ้นกับความต้องการของเด็กแต่ละคนและพื้นอารมณ์ที่ต่างกัน วิธีแก้ปัญหาช่วงนี้อาจใช้เป้อุ้มเด็กก็ได้ แต่โดยทั่วไปเมื่อ เด็กโตขึ้นกล้ามเนื้อพัฒนาขึ้นเด็กจะอยากเคลื่อนไหวและลดการอยากให้อุ้มลงเอง หรือบางครั้งเด็กแค่อยากร้องออกมา ฉะนั้นการที่พ่อแม่ไม่แสดง ทีท่าวิตกกังวลหรือพยายามจะให้เด็กหยุดร้องก้อาจจะค่อยๆทำให้เด็กลดความต้องการให้อุ้มได้เมื่อเขามั้นใจว่าพ่อแม่อยู่ตรงนั้นกับเขา
อาจเริ่มต้นด้วยหนังสือที่ทำด้วยวัสดุอ่อนนิ่ม เช่น ผ้า ร่วมอ่าน ดูภาพไปกับเด็กและทำเสียงให้น่าสนใจ โดยที่ไม่ต้องสนใจเนื้อหามากนัก
โดยทั่วไปรูปแบบการนอนที่ปกติ คือนอนกลางวันและกลางคืน โดยนอนกลางวันอาจจะมีจนถึงอายุประมาณ 3 ปี และระยะเวลาการนอนทั้งหมด จะค่อยๆลดลงตามอายุที่มากขึ้น คร่าวๆ ดังนี้ คือ ที่ 1 ปี อยู่ที่ประมาณวันละ ไม่เกิน 14 ชม. เป็นต้น ช่วงอายุที่คุณแม่ถามมานั้นเด็กบางรายยังไม่สามารถ นอนได้ยาวตลอดคืน แต่ควรสำรวจด้วยว่าเด็กตื่นร้องไห้กลางดึกด้วยสาเหตุอะไร แก้ไขที่สาเหตุนั้นๆบางท่านเขื่อว่าเป็นช่วงที่ฟันกำลังขึ้นเด็กอาจหงุดหงิด ไม่สบายตัว พ่อแม่อาจเอายางกัดแช่เย็น ให้เด็กกัดเล่น หรือบางท่านเชื่อว่าเป็นเพราะพัฒนาการที่มากขึ้น ทำให้เด็กอยากเล่นตลอด อาจช่วยโดยการ ให้เด็กเล่นในช่วงกลางวันให้มากขึ้น ก่อนนอนพยายามทำอะไรให้เป็นกิจวัตรที่คาดเดาได้ว่าเดี๋ยวจะเข้านอน เช่น เปิดเพลงเบาๆ อ่านนิทาน เลี่ยงการเล่นที่ตื่นเต้นนก่อนเข้านอน เป็นต้น
การกลัวสุนัขในเด็กวัยนี้คล้ายกับเป็นสัญชาตญาณในการป้องกันตัวของเด็ก โดยทั่วไปเมื่อโต ขึ้นก็จะค่อยๆหายไปเอง ในขณะเดียวกัน พยายามอย่าบังคับให้เด็กต้องเผชิญหน้ากับสุนัขเมื่อเด็กยังไม่พร้อม ทางที่ดีการพยายามพูดคุยกับเด็กถึงสาเหตุที่กลัวรวมถึงหาวิธีป้องกันน่าจะดีกว่า หรืออาจใช้วิธีการอ่านหนังสือ นิทานเกี่ยวกับสุนัข เป็นต้น
การจะฝึกทักษะในการให้เด็กไม่ขี้อายหรือคุ้นเคยกับคนอื่นๆมีหลายวิธี เช่น เริ่มต้นให้เด็กเข้าสังคมของนสนิท ญาติพี่น้องกลุ่มเล็กๆก่อน ไม่ต้องดุว่าถ้าเด็กแสดงท่าทีเขินอาย นอกจากนั้นพ่อแม่และครูอาจต้องยอมรับในความแตกต่างของเด็กแต่ละคน มองความขี้อายในทางบวก เช่น เกรงใจคนหรือเป็นคนระมัดระวังตัว เป็นต้น เด็กบางคนก็ต้องการเวลาในการทำความคุ้นเคยกับสถานที่หรือบุคคลที่แปลกใหม่
อยากให้คุณแม่ลองพิจารณาสถานการณืเหล่านี้ในบ้านนะค่ะ เช่น มีใครคนใดคนหนึ่งได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษหรือไม่ มีการบังคับ ให้พี่ต้องแบ่งให้น้องตลอดเวลาหรือไม่ คุณแม่ควรลองมานั่งคุยกับเด็ฏทั้ง 2 ในช่วงเวลาที่สงบ ไม่มีความโกรธอยู่ว่าจะเล่นกันอย่างไรดี ถ้าเราถูกแย่งของเล่นเราจะรู้สึกอย่างไร ดูว่าเด็กจะตอบว่าอย่างไร คุณแม่เองก็ไม่ควรตัดสินว่าใครผิดถูก ควรให้เด็กทั้งสองคนรับผลของการกระทำ ของตนเองทั้งคู่
Once you enroll in a course, you'll have unlimited access to the course materials for as long as the course is available on our platform.